Patummount


ผลบุญใดๆ จากการจัดทำเวบไซด์นี้

 ขอน้อมนำบุญทั้งหมดส่งให้อาจารย์อธิชา ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งโครงการทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ ณ.ที่นี้

คำไว้อาลัย


เริ่มรู้จักแม่ชี
             ประมาณปี 2552 เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าคนหนึ่ง (ปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิต คือหลวงพี่จิมมี่) ได้บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องการขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาปทุม เขาได้บรรยายถึงสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ประหลาดๆที่เกิดขึ้น จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสนใจ หลังจากนั้นอีกไม่นาน  แม่ชีอธิชา ซึ่งพวกข้าพเจ้าเรียกกันติดปากว่า อาจารย์ ต้องการก่อสร้างกุฏิไม้ไผ่สำหรับพระที่จะมากรรมฐานหรือมาพักค้าง ท่านจิมมี่จึงได้ชักชวนข้าพเจ้าและพรรคพวกให้มาช่วยกันสร้างกุฏิ แบบคนละไม้คนละมือ โดยไม่ต้องจ้างช่าง
            
            จึงเป็นที่มาของการได้รู้จักอาจารย์อธิชา จุดประสงค์ในการมาของพวกเรา  แตกต่างกันไป คุณชาญชัยนั้น ได้เข้ามาช่วยงานอาจารย์ได้เป็นเวลาร่วมสองเดือนมาแล้ว และต้องการมาสร้างบุญบารมีและปฏิบัติธรรมมีกำหนด3 เดือน  ส่วนท่านจิมมี่นั้นมีเป้าหมายเกี่ยวกับเรื่องกรรมฐาน เป็นเวลา1 เดือน คุณแมน ก็ไม่ได้ตั้งเป้าเป็นระยะเวลา ส่วนผมนั้นมีเป้าหมายเพียงแค่ร่วมก่อสร้างกุฏิและจะอยู่ ไม่เกิน  1อาทิตย์ แต่ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ในเวลานั้น ทำให้พวกเราอยู่ร่วมกันนานถึงเดือนเศษ นานเพียงพอต่อการที่ได้รู้จักสนิทสนมกัน และที่สำคัญได้รู้จักและเข้าใจภารกิจของอาจารย์ได้ดียิ่งขึ้น แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งก็ตาม


กิจวัตรประจำวัน
           การอยู่บนเขานั้น เป็นอะไรที่พวกเราไม่เคยอยู่มาก่อน ช่วงแรกๆ ในการก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะยังไม่พร้อมและขาดแคลน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการก็จะมีผู้มีจิตศรัทธานำมาบริจาคอยู่เสมอ ทั้งอาหารการกิน ปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต ในเวลานั้นพวกเรา 4 คน (ความจริงก็มีขาจรระยะสั้นในบางช่วง) ได้ร่วมมือกันก่อสร้าง กุฏิ ทางเดิน และร่วมพัฒนาระบบส่งน้ำ ระบบไฟฟ้า กับสาธุชนท่านอื่นๆด้วย  
          ตอนกลางวันพวกเราก็ทำงานกันไป ตกเย็นก็ทำวัตร เสร็จแล้วก็นั่งสนทนากัน จากนั้นก็นั่งสมาธิอีกจนดึก ซึ่งนำโดยอาจารย์เช่นเคย ตอนเช้าก็ตื่นประมาณตี 5 ทำวัตร นั่งสมาธิ แผ่เมตตา และ ทานข้าว ทำงานต่อๆ จนถึงเพล ก็ทานข้าว พักผ่อน และทำงานต่อจนถึงเย็นก็อาบน้ำ ทานน้ำปานะ และทำวัตรนั่งสมาธิ เป็นเช่นนี้ทุกวัน


เรื่องแปลกๆที่ได้เจอ
       หลงทางเสียเวลา หลงบนเขาได้ประสบการณ์

       เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆ ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรได้เวลากลับบ้านแล้ว เพราะที่จริงแต่เดิมนั้นตั้งใจไว้ว่าจะมาช่วยเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ ส่วนคนอื่นจะอยู่ก็แล้วแต่ศรัทธา  ข้าพเจ้าจึงได้รอๆ ผู้คน ที่จะขึ้นมาถวายปัจจัยต่างๆ เพื่อที่จะรอลงเขาไปและอาศัยรถของเขาเข้าเมือง และอีกอย่างช่วงนั้นอากาศก็เย็น ฝนก็ตกบ่อยๆด้วย 


            แต่ช่วงนั้น ไม่มีใครมาเลย และข้าพเจ้าก็กลับไม่ถูกด้วยจึงต้องรอ  แม้ข้าพเจ้าได้เคยมาเทียวเขาใหญ่หลายต่อหลายครั้ง และเคยขับรถมาทานอาหารที่ครัวเขาใหญ่อยู่บ่อยๆ ซึ่งก็ผ่านแยกหมูสี  แต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ ได้เหมารถจากปากช่อง มาที่วัดบ้านไร่ตรงเชิงเขาปทุม ตอนนั้นข้าพเจ้านั่งมาในรถและรู้สึกว่า ไกลและลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน กว่าจะถึงเขาปทุม ประกอบกับช่วงโค้งไปมา ก็เกิดอาการหลงทิศด้วย   จึงรู้สึกว่าสถานที่นี้ไกลและลึกลับเกินกว่าความเป็นจริง ข้าพเจ้าจึงคิดว่าไม่สามารถกลับจากป่าลึกลับนี้โดยลำพัง


          ถ้าข้าพเจ้ารู้ในตอนนั้นว่า เพียงแค่ลงเขา เดินไม่ถึงกิโล ก็ถึงสามแยกหมู่สี และนั่งรถประจำทางไปปากช่องและขึ้นรถทัวร์ไปลงหมอชิตได้ง่ายๆ ข้าพเจ้าคงขอลากลับไปนานแล้ว ก็เลยจำเป็นต้องอยู่ต่อเลยตามเลย  ประกอบกับการชักชวนแกมขอร้องจากพรรคพวกด้วย ซึ่งหากกลับไปตอนนั้นจริงๆ คงไม่มีโอกาสได้พบเจอประสบการณ์ต่างๆ ที่น่าประทับใจและประหลาดใจอีกมากมาย   และข้าพเจ้ามารู้ภายหลังจากการบอกเล่าของอาจารย์ว่า อาจารย์ได้อธิฐานขอหลวงปู่ ขอคนมาช่วยทำงานในระยะเริ่มแรก


 กลิ่นหอมประหลาด


           ระหว่างที่อยู่บนเขานั้น กิจกรรมที่อาจารย์ทำอยู่บ่อยๆ ก็คือชักชวนญาติโยมขึ้นเขามาสวดมนต์ บ่อยครั้งที่เป็นการสวดมนต์ข้ามคืนจนกระทั่งเช้า ช่วงที่พวกเราสวดมนต์อยู่นั้น หลายครั้งได้มีกลิ่นหอมประหลาด โชยมาเป็นพักๆ กลิ่นนั้นหอมลึกกว่ากลิ่นดอกไม้ป่า สดชื่นกว่ากลิ่นดอกไม้และน้ำหอมใดๆ  ดูเหมือนว่าเมื่อได้กลิ่นนั้นจะคลายความเหนื่อยล้า และสร้างความสุขได้ชั่วครู่อีกด้วย

           พวกเราได้อาศัย ณ.สถานที่นี้ กินอยู่และทำงานกันเป็นเดือนๆ ทั้งวันทั้งคืน ไม่พบต้นกำเนิดแห่งกลิ่นหอมบริเวณนั้นเลย และภายหลังอาจารย์ได้บอกว่าเป็นกลิ่นของเทวดาที่มาร่วมอนุโมทนาบุญ


 เทวดา  ช่วยประหยัดน้ำประหยัดไฟ
            การสร้างกุฏิ , ที่นั่ง , ทางเดิน , บันได และอื่นๆ สำหรับพวกเราที่ไม่ใข่ช่างแล้ว นับว่าค่อนข้างยาก ยิ่งเป็นการทำงานเป็นทีมโดยไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน แถมยังเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่พร้อม ใช้กันตามมีตามเกิด  โดยเฉพาะตะปูโคราช  ตอกสิบดอกจะใช้ได้แค่ดอกเดียว เพราะส่วนใหญ่จะงอหมด ทำให้แต่ละวันในช่วงบ่ายๆเย็นๆ พวกเราหมดแรงไปตามๆกัน  


            หลังจากยุติงานในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เข้าห้องน้ำ และเปิดน้ำจากสายยางใส่ถังใหญ่ในห้องน้ำเพื่อใช้อาบน้ำ (ตอนนั้นน้ำกินน้ำใช้บนเขาเป็นอะไรที่หายากและมีค่ามาก) เมื่อล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่น  แล้วก็ขึ้นมานั่งพักผ่อนตากลมบริเวณแคร่ด้านข้างของศาลาปฏิบัติธรรม  จากที่นั่งจะมองเห็นห้องน้ำอยู่ด้านล่างเป็นทางชันลงไป หากฝนตกทางเดินจะลื่นมากเพราะค่อนข้างชัน กำลังนั่งตากลมเย็นๆ ซักพักข้าพเจ้าสังเกตุว่าห้องน้ำ ยังไม่ได้ดับไฟ ปกติแล้วเข้าห้องน้ำแล้วจะดับไฟ เพราะค่าไฟก็เยอะอยู่


              แต่ด้วยอารามขี้เกียจ เพราะนั่งแล้วลมกำลังเย็นๆ ขี้เกียจเดินไปเปิดไฟ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ข้าพเจ้าคิดในใจ ทันทีทันใดก็มีเสียง แป๊ก ข้าพเจ้าก็หันไปดูที่ห้องน้ำ เป็นเสียงของสวิชเปิดปิดไฟนั่นแเหละครับ มีบางอย่างปิดไฟให้ บางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ก็อาจใช่ครับ   และช่วงนั้นก็ได้เจอเรื่องแปลกๆหลายเรื่อง พอเจอเรื่องนี้ก็เลยเฉยๆ แค่รู้สึกดีที่ไม่ต้องเดินไปปิดไฟ


            นั่งตาก-ลมไปซักพัก ตอนนั้นจำได้ว่า มีท่านจิมมี่ และ คุณแมน อยู่บริเวณนั้นด้วย นึกขึ้นได้ว่า น้ำที่รองใส่ถังไว้คงเต็มแล้วมั้ง เลยรีบเดินไปที่ห้องน้ำ   ปรากฏว่า ถังน้ำใหญ่น้ำเต็มแล้ว และ สายยางก็ร่วงตกลงไปจ่อมอยู่ในถังเล็ก (สำหรับราดส้วม) กำลังจะเต็มได้อย่างพอดิบพอดี เหมือนกับมีบางอย่างเอาสายยางลงไปใส่ในถังเล็ก เกือบได้จังหวะที่น้ำจะเต็มพอดี


            แม้ว่าแรงดันน้ำจากถัง มักจะดันสายยางร่วงลงมา แต่น่าประหลาดที่มันร่วงลงมาจ่อมในถังเล็กอย่างพอดีเช่นนี้และพิงฝาผนังพอดีอีกด้วย และข้าพเจ้ายืนยันว่า จากที่นั่งบนแคร่ สามารถมองเห็นห้องน้ำอย่างชัดเจน ไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น และ ไม่มีผู้ใดเดินผ่านพวกเราเข้าห้องน้ำในช่วงเวลานั้นแน่อน 


      
 เสียงตบรอบๆเตนท์
         อันนี้หลวงพี่จิมมี่ ได้เจอกับตัวเอง ซึ่งท่านยืนยันว่า ไม่ใข่เสียงลมที่พัดจนเต้นท์กระพือ แต่เป็นเสียงเดินตบรอบๆเตนท์ หลวงพี่จิมมี่ก่อนบวชได้พักบริเวณแคร่วางเตนท์ รายละเอียดต่างๆ ขอไม่เล่า เพราะข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยตนเอง


เตือนล่วงหน้า
            ความจริงแล้ว มีเรื่องแปลกๆ   อีกมากมายบนเขาปทุม ถ้าให้เล่าคงใช้เวลานานเกินไป และแม้จะน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หากเรื่องเหล่านั้นไม่ได้พัฒนาคุณภาพจิต  สติปัญญา และบุญบารมี เรื่องเหล่านั้นก็หามีประโยชน์อย่างถาวรไม่  จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เท่าใดนัก   และท่านแม่ชีอาจารย์ก็มิได้ให้ความสำคัญอะไรมากเพียงแค่ให้รับรู้ไว้เท่านั้น ท่านเน้นแต่เรื่อง สร้างทาน  ศีล ภาวนา และการสร้างบารมี ซึ่งจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง  

           คำพูดที่อาจารย์ท่านได้พูดกับผู้ใกล้ชิดเสมอ โดยเฉพาะคุณชาญชัย ที่ช่วยอาจารย์พัฒนาและบุกเบิก สถานปฏิบัติธรรมบนเขาในระยะเริ่มแรกว่า  ท่านมีเวลาอีกไม่นาน  อาจารย์บอกเรื่องนี้มานานก่อนที่จะบอกท่านจิมมี่เมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย พวกเราได้ยินได้ฟัง บางครั้งก็เฉยๆ คิดว่า เป็นการเจริญมรณานุสติ ของอาจารย์ มิได้คิดว่า จะเป็นการเตือน


 ถึงเวลา    
        อนึ่ง พวกเราเห็นว่า การสร้างบุญบารมีของอาจารย์นั้น หลายๆโปรเจคต์นั้นเป็นการรีบเร่ง เรียกได้ว่าอดหลับอดนอนก็บ่อยครั้ง  เพราะต้องการให้ทันเวลา และยังมีอีกหลายโปรเจคต์ที่รอต่อคิวอยู่   ผู้ร่วมงาน ผู้ช่วยงาน และลูกศิษย์ลูกหา บางครั้งก็ทำงานจนเหน็ดเหนื่อย จนถึงกับล้าไปตามๆกัน  สาธุชนที่เหนื่อยล้าก็เว้นวรรคกันไปก่อน สาธุชนผู้มีจิตศรัทธารายใหม่ๆ ก็เข้ามาช่วยงานใหม่เรียกได้ว่า ไม่มีขาดคนสนับสนุนช่วยเหลือ สำหรับโครงการใดๆของอาจารย์อธิชา


          และบัดนี้พวกเราหลายคนคงได้ทราบแล้วว่า เหตุใดอาจารย์จึงต้องเร่งสร้างบารมีอย่างอุกฤษ   แต่อย่างไรก็ตาม  ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าช้าๆ ลงอีกหน่อย และใช้บุญบารมีที่สะสมมาอย่างมหาศาล ต่อรองคงสรีระนี้ไว้เพื่อสร้างบารมีอีกต่อไปนานกว่านี้จะได้หรือไม่ ?    อาจารย์น่าจะอยู่นานกว่านี้อีกนะครับ……….
                                                                                                                                                               ข้าพเจ้า


 รูปโครงการทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการทั้งหมด ขออภัยที่มิอาจลงรูปได้ทั้งหมด

 รูปภาพบางส่วน ตัดมาจาก เฟชบุ๊ค กลุ่มศิษย์แม่ชีอธิขา กันหา  https://www.facebook.com/groups/kaopatum/?fref=ts


Make a Free Website with Yola.